วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2567

ศรีสะเกษl ไฟไหม้หลังอาคารพาณิชย์วอด 1 หลัง ถังแก๊สระเบิด 2 ครั้งรถยนต์ 4 คัน ในเมืองศรีสะเกษ

ไฟไหม้หลังอาคารพานิชย์วอด 1 หลังถังแก๊สระเบิด 2 ครั้ง รถยนต์ 4 คันจอดอยู่หวิดโดนไฟไหม้ ซึ่งสาเหตุอยู่ระหว่างการตรวจสอบของพนักงานสอบสวน
เมื่อเวลา 04.10 น. วันที่ 31 มี.ค.2567  ร.ต.อ.วีรวิชญ์  ศรีโพนดวน ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองศรีสะเกษ ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุโพธิ์ทอง สภ.เมืองศรีสะเกษว่า เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่บริเวณด้านหลังตึกแถวอาคารพานิชย์แห่งหนึ่ง บริเวณสามแยกแมนชั่นแห่งหนึ่งใกล้กับวัดหลวงสุมังคลาราม ต.เมืองใต้ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ   จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและรีบรุดไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งแจ้งให้เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลเมืองศรีสะเกษ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ นำเอารถดับเพลิงจำนวน 2 คันมาทำการเร่งระดมฉีดน้ำดับเพลิงที่กำลังลุกไหม้ ซึ่งไฟได้ลุกไหม้อย่างรวดเร็วมาก   เนื่องจากสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อนอบอ้าว ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังฉีดน้ำดับเพลิงปรากฏว่า ได้มีเสียงระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง ซึ่งคาดว่าเกิดจากถังแก๊สระเบิด และไฟฟ้าได้มีการช็อตกันขึ้นเป็นระยะๆ  โดยเจ้าหน้าที่ได้เร่งฉีดน้ำและดึงเอาถังแก๊สออกมาจากบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้ ขณะที่บรรดาเจ้าของรถยนต์ที่จอดอยู่ จำนวน 4 คัน ติดกับบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้ได้เร่งนำเอารถยนต์ของตนเองทั้งรถเก๋งและรถปิคอัพออกจากบริเวณเกิดเหตุ  เจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้เวลาประมาณ  35   นาทีจึงสามารถควบคุมเพลิงไหม้เอาไว้  โดยบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้เป็นห้องเก็บของด้านหลังอาคารพานิชย์โดนไฟไหม้วอดทั้งหลังจำนวน 1 หลัง ซึ่ง  ร.ต.อ.วีรวิชญ์  ศรีโพนดวน จะได้เร่งสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงของการเพลิงไหม้ครั้งนี้เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นายสามารถ บุญรักษา อายุ 33 ปี  บ้านใกล้กับที่เกิดเหตุและเห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ขณะที่ตนกำลังนั่งเล่นอยู่กับเพื่อนๆ อยู่นั้น ได้กลิ่นคล้ายกับกลิ่นธูปไหม้ และต่อมาได้มีแสงไฟลุกไหม้ขึ้นมาที่บริเวณด้านหลังห้องแถว  และขณะที่ไฟกำลังลุกไหม้มีเสียงระเบิดดังขึ้น 2 – 3 ครั้ง ตนจึงได้รีบวิ่งไปแจ้งให้ยามรักษาความปลอดภัยของหอพักแห่งหนึ่งใกล้กับที่เกิดเหตุทราบ และได้โทร.แจ้ง 191 เพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่ ตร.และรถดับเพลิงให้มาฉีดน้ำดับไฟที่กำลังลุกไหม้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงสามารถควบคุมเพลิงไหม้เอาไว้ได้ในที่สุด ทำให้อาคารพานิชย์จำนวนประมาณ 12 ห้องที่อยู่ติดกันและรถยนต์ 4 คันรอดจากการถูกเพลิงไหม้ในครั้งนี้อย่างหวุดหวิด/////

ภาพ / ข่าว  ศิริเกษ  หมายสุข ผู้สื่อข่าวประจำ จ. ศรีสะเกษ

ศรีสะเกษl โจ๋งครึ่มเย้ยกฎหมายบ่อนพนันปาโป่งปาเป้า เกลื่อนหน้าที่ว่าการ อ.ขุขันธ์ ห่างจาก สภ.ขุขันธ์ เพียงแค่ 100 เมตร

โจ่งครึ่มเย้ยกฎหมายบ่อนพนันปาเป้าปาโป่งเกลื่อนหน้าที่ว่าการ อ.ขุขันธ์ห่างจาก สภ.ขุขันธ์ประมาณ 100 เมตร มอมเมาเด็กและเยาวชนอย่างหนัก ชาวบ้านสุดทนร้องขอให้นายก รมต.และ รมว.มหาดไทยตรวจสอบด่วนว่า มีการดำเนินการขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่อย่างไร เหตุใดจึงปล่อยให้เด็กและเยาวชนเข้าไปเล่นพนันได้
เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2567 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครองของเด็ก น.ร.คนหนึ่งว่า ที่บริเวณหน้าที่ว่าการ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานสืบสานประเพณีสี่เผ่าไทรวมน้ำใจเพื่อชาวขุขันธ์และกาชาด                      อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ กำหนดจัดงานนี้ขึ้นระหว่างวันที่ 28 มี.ค.- 5 เม.ย.2567 รวม 9 วัน 9 คืน โดยมีการแสดงคอนเสริต์ของนักดนตรีชื่อดังจำนวนมาก และการจำหน่ายสินค้าโอท๊อป  ซึ่งปรากฏว่า ในการจัดงานครั้งนี้ได้มีบรรดาพ่อค้าแม่ค้าพากันมาออกร้านเปิดให้เล่นการพนัน เช่น ปาโป่ง ปาเป้า ยิงตุ๊กตา ขึ้นป้ายขายยิงเป้า 1 ชุด ชุดละ 20 บาท 10 ลูก 3 ชุด 50 บาท สะสมตัวเล็กแลกตัวใหญ่ โดยการเล่นปาเป้าจะกำหนดราคาตามขนาดตัวตุ๊กตา เช่น 3 ดอก 20 บาท, 1 ชุด 20 บาท, 3 ชุด 50 บาท , โยนตก 1 กระป๋องรับ 1 ตัว 20 บาท  เป็นต้น ซึ่งปรากฏว่า มีเด็กและเยาวชนเข้าไปเล่นพนันปาเป้าและยิงเป้าเพื่อหวังเอารางวัลตุ๊กตาขนาดใหญ่กันอย่างคึกคัก โดยมีร้านลักษณะเดียวกันนี้ จำนวนประมาณ 15 ร้าน มีเด็ก เยาวชน และประชาชน เดินเข้ามาเล่นการพนันดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง   แต่ว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ ตร.รวมทั้งส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบและจับกุมการเล่นพนันปาโป่ง ปาเป้า ยิงตุ๊กตา ซึ่งเป็นการแอบแฝงในการเปิดเล่นการพนันแต่อย่างใด ทั้งที่สถานที่เปิดเล่นพนันดังกล่าวอยู่หน้าที่ว่าการ อ.ขุขันธ์ ประมาณ 50 เมตร และอยู่ห่างจาก สภ.ขุขันธ์ประมาณ 100 เมตรเท่านั้น 
นายกัน อายุ 48 ปี ผู้ปกครองเด็ก น.ร.คนหนึ่ง กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่า เพราะเหตุใดในการจัดงานครั้งนี้ จึงได้ปล่อยให้เด็ก น.ร.และเยาวชนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เข้าไปเล่นพนันกันอย่างเปิดเผยแบบนี้ ตนไม่ทราบว่า ผู้มีอำนาจอนุญาตได้มีการอนุญาตให้มีการเล่นพนันปาเป้า ปาโป่ง ในงานนี้หรือไม่อย่างไร เนื่องจากว่าหากมีการขออนุญาตเล่นพนันจริง ควรที่จะนำเอาใบอนุญาตมาปิดไว้อย่างเปิดเผยว่าได้รับอนุญาตแล้ว อีกทั้งตามใบอนุญาตด้านหลังจะมีเงื่อนไขการอนุญาตว่า ผู้ได้รับอนุญาตจะต้องไม่ปล่อยปละละเลยให้ผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเข้าไปเล่นการพนันอย่างเด็ดขาด ซึ่งการจัดงานนี้มีการปล่อยให้เด็กและเยาวชนเข้าไปเล่นพนันปาเป้าปาโป่งอย่างโจ่งครึ่มเย้ยกฎหมาย แต่เจ้าหน้าที่ ตร.และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไม่ได้มีการจับกุมแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่ผิดกฎหมายชัดเจน ที่สำคัญคือมีเด็กเข้าไปเล่นพนันด้วย ซึ่งไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมากับผู้ปกครองก็ตาม การปล่อยปละละเลยเช่นนี้ตนไม่ทราบว่า หน.ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่อย่างไร
นายกัน อายุ 48 ปี ผู้ปกครองเด็ก น.ร.คนหนึ่ง กล่าวต่อไปว่า ตนและประชาชนชาว อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษที่รักความถูกต้อง  จึงขอร้องเรียนไปยัง นายเศรษฐา  ทวีสิน  นายกรัฐมนตรี และ นายอนุทิน  ชาญวีรกูล  รมว.กระทรวงมหาดไทย  นายอนุพงศ์  สุขสมนิตย์  ผวจ.ศรีสะเกษ รวมทั้งทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องว่า  ขอให้ลงมาตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยว่า ร้านปาเป้า ปาโป่งในการจัดงานครั้งนี้ได้มีการขออนุญาตถูกต้องและปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่อย่างไร   หากพบว่า ไม่มีการขออนุญาตถูกต้องตามกฏหมายขอให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด และหากพบว่า มีผู้ใดเข้าไปเอี่ยวมีผลประโยชน์ในทางมิชอบในครั้งนี้ ขอให้ดำเนินการทางวินัยและอาญาสถานหนักด้วย เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีในการมอมเมาเด็กและเยาวชนอีกต่อไป  ซึ่งบริเวณหน้าที่ว่าการ อ.ขุขันธ์แห่งนี้ มีการปล่อยปละละเลยให้มีการเล่นพนันลักษณะนี้เป็นประจำ เมื่อมีการร้องเรียนเรื่องนี้ขึ้นมา เจ้าหน้าที่ก็จะเข้าไปทำการจับกุมและจะนำเอาผู้ประกอบการไปปรับเป็นเงินเพียงไม่กี่บาท จากนั้นก็จะปล่อยให้มาเปิดร้านเล่นพนันมอมเมาเด็กและเยาวชนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เนื่องจากผู้ประกอบการปาเป้า ปาโป่ง บิงโก เป็นผู้มีอิทธิพลเหนือ หน.ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จึงไม่หวั่นเกรงกฎหมาย  มักจะอ้างว่าเคลียร์กับ หน.ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกส่วนแล้ว 

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า การปล่อยให้มีการจัดการเล่นการพนันเอาทรัพย์สินกัน เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายมาตรา 4 และมาตรา 4 ทวิ ประกอบมาตรา 5 และมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.การพนัน 2478 ซึ่งตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 12 ได้บัญญัติว่า “ผู้ใดจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนโดยทางตรง หรือทางอ้อม ให้ผู้อื่นเข้าเล่น หรือเข้าพนันในการเล่น ซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน หรือรับอนุญาตแล้ว แต่เล่นพลิกแพลง หรือผู้ใดเข้าเล่น หรือเข้าพนันในการเล่น อันขัดต่อบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎกระทรวงนั้น” ลักษณะยิงเป้า ปาลูกโป่ง ปิงโก เป็นการพนันบัญชี ข. มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป จนถึง 3 ปี ปรับตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไปจนถึง 5,000 บาท และตามมาตรา 7 (3) ระบุว่า ห้ามไม่ให้บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ หรือไม่บรรลุนิติภาวะเข้าไปเล่นด้วย//

ภาพ / ข่าว  ศิริเกษ  หมายสุข ผู้สื่อข่าวประจำ จ. ศรีสะเกษ

ศรีสะเกษl ไฟไหม้ ร.ร.บ้านสลักได วอดทั้งหลัง เหตุเกิดช่วงใกล้สว่างชาวบ้านแห่มาช่วยกันดับไฟแต่ไร้ผล

 ไฟไหม้ ร.ร.บ้านสลักได วอดทั้งหลัง เหตุเกิดช่วงใกล้สว่างชาวบ้านแห่มาช่วยกันดับไฟแต่ไร้ผล โชคดีไม่มีผู้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ขณะที่ ผอ.สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
เมื่อเวลา  05.00 น. วันที่ 30 มี.ค. 2567  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ ร.ร.บ้านสลักได ต.สุขสวัสดิ์  อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ ได้เกิดเพลิงลุกไหม้อาคารเรียนที่มีอยู่เพียง 1 หลัง  ไฟได้โหมลุกไหม้อย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก นายสมควร ไก่แก้ว รองนายก อบต.สุขสวัสดิ์  ซึ่งบ้านอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ จึงได้ร่วมกับ ผญบ.สลักได  และชาวบ้านพากันมาดับไฟกันอย่างโกลาหล พร้อมทั้งได้แจ้งขอความช่วยเหลือไปยัง อบต.โนนปูน อบต.ปราสาทเยอ อบต.จะกง และเทศบาล ต.ไพรบึง เพื่อขอรถดับเพลิงมาช่วยกันระดมฉีดน้ำดับเพลิงกันอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากว่า อาคารเรียนชั้นบนเป็นไม้ ชั้นล่างเป็นปูนซีเมนต์ ทำให้ไฟไหม้อาคารเรียนชั้นบนอย่างรวดเร็วมาก  จากนั้น ไฟได้ลามไหม้ลงมาชั้นล่างของอาคารเรียนจนหมดทั้งหลัง  เจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้เวลาประมาณ 45 นาที จึงสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้  มีอาคารประกอบและบ้านพักครู 1 หลังที่อยู่ใกล้กันได้รับความเสียหายเล็กน้อย โดยมี นางอัญชลี  เสนคราม ครู คศ.2 รักษาราชการแทน ผอ.ร.ร.บ้านหนองอิไทย และคณะครูพากันมาร่วมกับชาวบ้านช่วยกันดับเพลิงอย่างเต็มที่ ต่อมา ว่าที่ ร.ต.สำรวย  นกงาม ผอ.สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 และคณะได้มาทำการตรวจการเกิดเหตุเพลิงไหม้ ร.ร. พร้อมทั้งได้ร่วมกับ ผญบ.และชาวบ้าน ร่วมกันสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น  ซึ่งพบว่า อาคารเรียนโดนไฟไหม้เสียหายทั้งหลัง ไม่สามารถใช้การได้ แต่โชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิตแต่อย่างใด
นายสมควร  ไก่แก้ว รองนายก อบต.สุขสวัสดิ์  ซึ่งบ้านอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ กล่าวว่า  ชาวบ้านใกล้ ร.ร.ได้มองไปที่ ร.ร.พบว่า มีไฟไหม้ขึ้นที่ ร.ร. เพราะว่ามีแสงไฟสว่างจ้าในช่วงเวลาประมาณ 04:00 น. ของวันที่ 30 มีนาคมและได้มาแจ้งให้ตนทราบ ตนจึงได้แจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบเพื่อให้มาดูและขอให้แจ้งประกาศทางหอกระจายข่าวของหมู่บ้านเพื่อให้ชาวบ้านมาร่วมกันดับไฟ ตอนช่วงที่ตนมาถึงนั้นพบว่าไฟไหม้ชั้นบนของอาคารเรียนหมดแล้ว จึงได้รีบประสานงานเรียกรถดับเพลิงจาก อบต.ปราสาทเยอ อบต.โนนปูน อบต.จะกงและเทศบาล ต.ไพรบึง ให้ส่งรถดับเพลิง จำนวน 4 คันมาช่วยกันดับไฟอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากอาคารเรียนทำด้วยไม้ ทำให้โดนไฟไหม้วอดทั้งหลังอย่างรวดเร็วมาก  ซึ่งตนและชาวบ้านทุกคนต่างพากันเศร้าเสียใจมาก  เพราะว่า  ตนและชาวบ้านสลักไดทุกคนเคยเรียนหนังสือที่ ร.ร.แห่งนี้ และได้พากันมาพัฒนาความสะอาดปรับปรุง ร.ร.เป็นประจำอยู่เสมอ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มี.ค. ตนร่วมกับคณะครู ร.ร.บ้านหนองอิไทยและชาวบ้าน ได้พากันมาพัฒนาความสะอาดที่ ร.ร.แห่งนี้
นางอัญชลี  เสนคราม ครู คศ.2 รักษาราชการแทน ผอ.ร.ร.บ้านหนองอิไทย   กล่าวว่า ตนได้รับแจ้งจากชาวบ้านเมื่อเวลาประมาณ 05:00 น. ว่าเกิดเพลิงไหม้ที่ ร.ร.บ้านสลักได ตนจึงได้แจ้งให้คณะครูทราบและพากันมาร่วมกับชาวบ้านช่วยกันดับไฟ แต่ว่าไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปใกล้ เนื่องจากเพลิงไหม้รุนแรงมาก จะต้องรอให้รถดับเพลิงมาช่วยสกัดเพลิงไหม้และควบคุมเพลิงเอาไว้ได้เสียก่อน  เพราะว่าไฟลุกไหม้รุนแรงมากเข้าใกล้ไม่ได้  ร.ร.แห่งนี้ไม่มี น.ร.มาเรียนอยู่แล้ว เพราะว่า น.ร.ที่ ร.ร.แห่งนี้ไปเรียนควบรวมอยู่ที่ ร.ร.บ้านหนองอิไทย ต.สุขสวัสดิ์ อ.ไพรบึง ซึ่งห่างไปประมาณ 4  กม.ตั้งแต่ประมาณปี 2559 ที่ผ่านมา ซึ่ง ร.ร.แห่งนี้จะไม่มีใครอยู่เลย แต่ว่าได้มาร่วมกับชาวบ้านทำการพัฒนาความสะอาดดูแลรักษาเป็นประจำอยู่เสมอ ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ก็ได้ร่วมกับชาวบ้านมาพัฒนาทำความสะอาดรอบบริเวณ ร.ร.โดยจะทำความสะอาดที่ ร.ร.แห่งนี้เป็นประจำทุกภาคเรียน เพราะว่ายังถือว่ายังอยู่ในความดูแลของ ร.ร.บ้านหนองอิไทย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ตนได้รายงานทางโทรศัพท์ให้ ผอ.ร.ร.บ้านหนองอิไทย ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางไปราชการที่กรุงเทพได้รับทราบเบื้องต้นแล้ว

ว่าที่ ร.ต.สำรวย  นกงาม ผอ.สพป.ศรีสะเกษ เขต 3  กล่าวว่า  จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า อาคารเรียนที่เกิดเพลิงไหม้ เป็นอาคารเรียนแบบ ศก.01 มี 6 ห้องเรียนแยกเป็น ชั้นล่าง 3 ห้องเรียนและ ชั้นบน 3 ห้องเรียน  แต่ว่าไม่ได้ใช้อาคารเรียนจัดการเรียนการสอนแต่อย่างใด  โดยมีการยุบรวม ร.ร.แห่งนี้และให้เด็ก น.ร.ที่มีอยู่ประมาณ 40 คนไปเรียนรวมอยู่กับ ร.ร.บ้านหนองอิไทย ที่อยู่ใกล้กันตามนโยบายของ สพฐ. ร.ร.แห่งนี้ได้มีการตัดไฟฟ้าออกหมดแล้ว และได้มีชุมชนพากันมาใช้ประโยชน์ในการจัดประชุมและจัดกิจกรรมต่าง ๆ กันเป็นประจำ  โดยคณะครูและชาวบ้านได้ร่วมกันดูแลรักษาความสะอาดเป็นประจำอยู่เสมอ  จากเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนี้ ตนจะได้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง และจะได้รายงานให้ เลขาธิการ กพฐ.ได้รับทราบต่อไป///

ภาพ / ข่าว  ศิริเกษ  หมายสุข ผู้สื่อข่าวประจำ จ. ศรีสะเกษ

นครสวรรค์l โรงเรียนชุมชน วัดหัวถนนใต้ อ.ท่าตะโก จัดงานทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อการศึกษาในการจัดซื้อคุรุภัณฑ์

โรงเรียนชุมชน วัดหัวถนนใต้ อ.ท่าตะโก จัดงานทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อการศึกษา
วันนี้ 30 มีนาคม 2567 โรงเรียนชุมชนวัดหัวถนนใต้( นิยุตประชาสรรค์  ) ตำบลหัวถนน อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ จัดให้มีผ้าป่าสามัคคีเพื่อการศึกษาเพื่อปรับปรุงห้องคอมพิวเตอร์  จัดซื้อวัสดุภัณฑ์ทางการศึกษาและปรับปรุงภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อมสนามเด็กเล่นของโรงเรียน
วันนี้ พล.ต.ต.สุรินทร์  ทัพทันบุปผา อดีต ผบก. ภ.จว. อ่างทอง  
นายมานพ  ศรีผึ้ง ส.ส.เขต 4 นครสวรรค์  นายบัญชา  เดชเจริญสิริกุล  ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคท้องที่ไทย  พล.ต.ต.เทียนชัย คะมะปะโส  อดีต   ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี
ส.อบจ.เจน  หมีทอง  
นายปัญญา ก้อนจันทร์เทศ กำนันตำบลหัวถนน  นายอุกฤษฏ์  หมีทอง นายก.อบต. หัวถนน  นางจิตรา  หมีทองอดีต ส.อบจ. ท่าตะโก
คุณสมมุ่ง  อรุณศรีจตุพร
ผจก d&s the first จำกัด
ดร.วาสุกาญจน์  งามโฉม
ดร.สุรพล  พิมพ์สอน  
นายวินัย  ศรีปิยะรัต อดีตนายกเทศบาลตำบลท่าตะโก และข้าราชการ นข้าราชการบำนาญ ผู้ใหญ่บ้านในตำบล ผู้นำ ผอ.รพ.สต.หัวถนน อสม. คหบดีคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานคณะกรรมการที่ปรึกษาและศิษย์เก่าโรงเรียนชุมชนวัดหัวถนนใต้ร่วมกันทำบุญโดยมีพระสงฆ์จากวัดหัวถนนใต้ วัดหัวถนนกลาง วัดหัวถนนเหนือ ทำพิธีสงฆ์ รับผ้าป่าและมอบให้กับโรงเรียนชุมชนวัดหัวถนนใต้ หลังจากนั้น แขกมาร่วมทำบุญรับประทานอาหารร่วมกัน

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567

ศรีสะเกษl แห่งเดียวในโลก เสาไฟปักกลางท่อระบายน้ำ ผอ.ป.ป.ช บุกตรวจสอบสั่งแก้ไขโดยด่วน

แห่งเดียวในโลกเสาไฟฟ้าปักกลางท่อระบายน้ำ ผอ.ป.ป.ช.บุกตรวจสั่งแก้ไขแล้ว  มอบ หน.ไฟฟ้าและผอ.แขวงทางหลวงจับมือกันแก้ไขปัญหาด่วน ขณะที่ หน.ไฟฟ้าเผยจะต้องย้ายเสาไฟฟ้าจำนวน 3 ต้นจะให้แล้วเสร็จภายในกลางเดือน เม.ย.นี้
เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2567  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านเอื้ออาทรอุทุมพรพิสัย ทางหลวงสาย 226 อ.อุทุมพรพิสัย – จ.สุรินทร์ ช่วงบ้านสระกำแพงใหญ่  ต.สระกำแพงใหญ่ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นจุดที่เพจชื่อดัง ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน ได้นำเสนอว่า “เมื่อเสาไฟฟ้าไม่หลีก งานวางท่อระบายน้ำผ่านเสาไฟฟ้า ตรงริมรั้วบ้านเอื้ออาทรอุทุมพรพิสัย ตอนนี้ถมเรียบร้อยเตรียมปูทางเท้า ท่อคลาส ห้ามบิ่น ห้ามแว่ง ห้ามพอก พี่แกก็ทุบก็พอก”   โดยในภาพประกอบเป็นภาพเสาไฟฟ้าปักอยู่กลางท่อระบายน้ำขนาดใหญ่  ปรากฏว่าในวันนี้ นายอดุลย์  วันดี  ผอ.ป.ป.ช.ประจำ จ.ศรีสะเกษ พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่สอบสวนของ ป.ป.ช.ได้ลงพื้นที่มาทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง  โดยมี นายปฐมพงศ์ เสนาใหญ่ ผอ.แขวงทางหลวง ศรีสะเกษที่ 1 พร้อมด้วย นายธนกฤต สุขชิต หัวหน้าแผนกก่อสร้างและปฏิบัติการ กฟภ.อุทุมพรพิสัย นายสิริ สิงหรัตน์ นายช่างโครงการก่อสร้างสาย 226 และคณะมาทำการชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นตามข่าว  ซึ่ง ผอ.ป.ป.ช.ประจำ จ.ศรีสะเกษ ได้นำคณะไปทำการตรวจสอบจุดที่เกิดเหตุพบว่า มีเสาไฟฟ้าปักอยู่กลางท่อระบายน้ำ ซึ่งคาดว่าเป็นแห่งเดียวของโลกที่มีการก่อสร้างแบบนี้  ขณะที่หน่วยงานที่รับผิดชอบได้มีการนำเอาดินมาถมรอบบริเวณเสาไฟฟ้าตามที่เป็นข่าว และถมดินตลอดแนวที่เตรียมจะทำทางเท้า แต่ว่ายังถมดินไม่เต็มเขตที่จะทำทางเท้าแต่อย่างใด 
ซึ่ง นายอดุลย์ ได้ให้เจ้าหน้าที่ลงไปทำการตรวจสอบว่า บริเวณที่มีการปักเสาไฟฟ้าลงไปนั้น สามารถที่จะระบายน้ำได้หรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบภายในท่อระบายน้ำและถ่ายภาพมาแจ้งให้ทราบว่า มีเศษวัสดุก่อสร้างอยู่รอบบริเวณที่เสาไฟฟ้าปักอยู่ แต่ว่ายังคงสามารถระบายน้ำได้สะดวก  จากการที่นายอดุลย์ ได้สอบถามเจ้าหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างว่า เพราะเหตุใดจึงมีการก่อสร้างท่อระบายน้ำและปักเสาไฟฟ้าแบบนี้ ได้รับคำชี้แจงว่า  เนื่องจากเห็นว่า การกระทำดังกล่าวสามารถระบายน้ำได้ จึงได้ทำการปักเสาไฟฟ้าลงไปในท่อระบายน้ำ และพบว่า น้ำจากหมู่บ้านเอื้ออาทรยังคงไหลลงไปสู่ท่อระบายน้ำได้  ซึ่งจากการที่นายอดุลย์   ได้ทำการตรวจสอบแล้วเห็นว่า ไม่ถูกต้องตามหลักการก่อสร้าง ดังนั้น จึงได้แจ้งให้  นายปฐมพงศ์ เสนาใหญ่ ผอ.แขวงทางหลวงศรีสะเกษที่ 1 และนายธนกฤต สุขชิต หัวหน้าแผนกก่อสร้างและปฏิบัติการ กฟภ.อุทุมพรพิสัย ร่วมกันแก้ไขปัญหานี้ โดยขอให้ทำการจับมือกันเพื่อเป็นการยืนยันว่า จะทำการแก้ไขปัญหานี้ให้แล้วเสร็จโดยด่วนที่สุด 
นายธนกฤต สุขชิต หัวหน้าแผนกก่อสร้างและปฏิบัติการ กฟภ.อุทุมพรพิสัย  กล่าวว่า ในส่วนของไฟฟ้าก็จะเร่งดำเนินการแก้ไข ปัญหาอุปสรรคที่ผ่านมาก็คือแนวท่อของประปามันแคบมากที่จะขยายออกไปได้ตอนนี้ ประมาณ 1 เมตรจากแนวกำแพง และจะมีท่อประปาขนาดใหญ่ด้วย อย่างไรก็ดีทางไฟฟ้าก็จะเร่งดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาตรงนี้พร้อมกับแขวงทางหลวงศรีสะเกษที่  1  โดยจะเริ่มดำเนินการในวันที่ 4 เมษายนที่จะถึงนี้  ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายในช่วงกลางเดือนเมษายนนี้ เพราะว่าระยะเวลาในการดับไฟแต่ละครั้งของไฟฟ้าใช้เวลานาน เนื่องจากมีผู้ใช้ไฟฟ้าเยอะและจะทำให้พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อนในการดับไฟแต่ละครั้งก็ใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ  7 วันก็จะต้องแจ้งให้ประชาชนทราบล่วงหน้าก่อนที่จะทำการดับไฟ โดยมีเสาไฟฟ้าที่จะต้องเคลื่อนย้ายออกจำนวน 3 ต้น และได้มีการทำเครื่องหมายไว้แล้ว

นายอดุลย์  วันดี  ผอ.ป.ป.ช.ประจำ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า เบื้องต้นจากการที่เราได้ลงพื้นที่มาตามข่าวพบว่า  มีการดำเนินการที่จะแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน เพียงแต่ว่าวิธีการดำเนินการที่ผ่านมาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้น มันอาจจะขัดกับหลักการก่อสร้างและหลักการทางวิศวกรรม แต่ว่าเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ตนได้แจ้งให้แขวงทางทางหลวงศรีสะเกษที่ 1 ร่วมกับไฟฟ้า  จะได้ร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาตรงนี้ เริ่มต้นก็ยังไม่พบว่ามีการดำเนินงานที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย   แต่หากพบว่ามีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องดำเนินการตามบทบาทหน้าที่ของ ป.ป.ช.ต่อไป ซึ่งตอนนี้ยังไม่พบสิ่งที่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด ซึ่งตนได้แจ้งให้ทางไฟฟ้า ย้ายเสาไฟฟ้าออกไปในวันที่ 4 เมษายนนี้ เพื่อแก้ไขให้เรียบร้อย ก็ต้องรอดูตรงนั้นว่าถ้าดำเนินการไปแล้วเรียบร้อยก็ถือว่าได้เป็นการทำหน้าที่ที่ถูกต้องแล้ว   โดยในวันที่ 4 เมษายนที่จะทำการรื้อถอนย้ายเสาไฟฟ้าตรงนี้ ตนและคณะเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.จะได้มาทำการตรวจสอบความเรียบร้อยถูกต้องอีกครั้ง////

ภาพ /  ข่าว  ศิริเกษ  หมายสุข ผู้สื่อข่าวประจำ จ. ศรีสะเกษ 

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2567

ศรีสะเกษl จัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน "ผ้าลายสิริวชิราภรณ์" พระราชบาปัตตานี และเครื่องหมายรับรองสินค้าแฟชั่นและหัตถกรรม

จัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์” “ผ้าลายชบาปัตตานี” และเครื่องหมายรับรองสินค้าแฟชั่นและหัตถกรรมพระราชทาน “Sustainable Fashion : แฟชั่นแห่งความยั่งยืน” เป็นต้นแบบช่างทอผ้าทุกกลุ่มตลอดจนเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้นำไปต่อยอดพัฒนาคุณภาพชีวิต  
วันที่ 27 มี.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมเพชร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต  1 อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์” “ผ้าลายชบาปัตตานี” และเครื่องหมายรับรองสินค้าแฟชั่นและหัตถกรรมพระราชทาน “Sustainable Fashion : แฟชั่นแห่งความยั่งยืน” ให้แก่ผู้แทนชาวจังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 60 คน ประกอบด้วย หัวหน้าส่วนราชการ จำนวน 5 หน่วยงาน นายอำเภอ 22 อำเภอ ช่างทอผ้าและเยาวชน ผู้ผลิตสินค้า OTOP จาก 22 อำเภอ ได้นำไปสร้างสรรค์พัฒนาต่อยอด ตามอัตลักษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน และเป็นการเผยแพร่พระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ด้านการออกแบบเครื่องแต่งกายและการอนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมจากภูมิปัญญาพื้นถิ่นของไทยให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืน โดยมี นายอดุลย์ ดีอ้อม พัฒนาการจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วย นายสุเทพ ศรบุญทอง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ  เจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ และพัฒนาการอำเภอทั้ง 22 อำเภอ เข้าร่วมพิธีในครั้งนี้
สำหรับองค์ประกอบลายพระราชทาน “ลายสิริวชิราภรณ์” มีลายพระราชทานหลัก จำนวน 4 ลาย ได้แก่ “ลายวชิรภักดิ์” ซึ่งได้รับแรงบันดาลพระทัยจากอักษร “ว” ที่เป็นอักษรพระปรมาภิไธยตัวแรกในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว “ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ 2567” ที่ทรงออกแบบต่อยอดจากลายพระราชทานลำดับแรก “ผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” “ลายหัวใจ” สื่อถึงความรักและความห่วงใยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าทั่วทั้งประเทศ และ “ลายดอกรักราษฎร์ภักดี”  โดยทรงออกแบบต่อยอดจากลายพระราชทาน “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา” สื่อถึงความรักและความภักดีของปวงพสกนิกรชาวไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยพระราชทานแบบตั้งต้นไว้ 4 ประเภท ได้แก่ ประเภทผ้ากาบบัว ประเภทผ้ายก จก ขิด แพรวา ประเภทผ้ามัดหมี่ และประเภทผ้าบาติก ซึ่งสามารถนำลายพระราชทานหลัก ทั้ง 4 ลายนี้ ไปถักทอผสมผสานกับลวดลายภูมิปัญญาพื้นถิ่นตามความคิดสร้างสรรค์ของศิลปิน เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ที่มั่นคง สู่การคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืนต่อไป
นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ  กล่าวว่า “นับเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้พระราชทานแบบลายผ้า “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์” “ผ้าลายชบาปัตตานี” และเครื่องหมายรับรองสินค้าแฟชั่นและหัตถกรรมพระราชทาน “Sustainable Fashion : แฟชั่นแห่งความยั่งยืน” เพื่อมอบให้กับช่างทอผ้า และผู้ประกอบการผ้าไทย ทุกเทคนิค นำไปสร้างสรรค์ชิ้นงานเพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งกระทรวงมหาดไทย ได้จัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์” “ผ้าลายชบาปัตตานี” และเครื่องหมายรับรองสินค้าแฟชั่นและหัตถกรรมพระราชทาน “Sustainable Fashion : แฟชั่นแห่งความยั่งยืน” ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 5 มี.ค.67 ณ The Athenee Hotel, a Luxury Collection Hotel แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ เพื่อมอบให้กับช่างทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค เยาวชนคนรุ่นใหม่ และประชาชนคนไทยนำไปทอผ้า ผลิตผ้าตามอัตลักษณ์ภูมิปัญญาของแต่ละท้องถิ่นทั่วประเทศ ซึ่งชาวจังหวัดศรีสะเกษ จะได้ดำเนินการและขยายผลโครงการตามแนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ไปยังทุกอำเภอของจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ที่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง ยังผลให้ช่างทอผ้าช่างหัตถกรรม ผู้ผลิต ผู้ประกอบการมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ด้วยสำนึกพระกรุณาคุณที่ทรงมีต่อเหล่าปวงชนชาวไทย ขอน้อมนำแนวพระดำริในการสร้างคุณค่าให้ผลิตภัณฑ์ผ้าไทยสามารถก้าวสู่ระดับสากล เพื่อวิถีชุมชนที่ยั่งยืนด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจกิจฐานราก อันยังประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชนทุกช่วงวัยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน////////
 
ภาพ  / ข่าว  ศิริเกษ  หมายสุข  ผู้สื่อข่าวประจำ  จ.ศรีสะเกษ

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2567

ศรีสะเกษl ระดมกำลัง 424 นาย ค้นเรือนจำหาสิ่งผิดกฎหมายและ สุ่มตรวจปัสสาวะผู้ต้องขัง

ระดมกำลัง 424 นายบุกค้นเรือนจำหาสิ่งของผิดกฎหมาย สุ่มตรวจปัสสาวะผู้ต้องขัง จำนวน 100 คน ไม่พบสารเสพติดในร่างกายแต่อย่างใดและผลการตรวจค้นไม่พบสิ่งของห้าม 
เมื่อเวลา 05.30 น. วันที่ 26 มี.ค. 2567  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณลานอเนกประสงค์ ด้านหน้าเรือนจำ จ.ศรีสะเกษ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ  นายนพ  พงศ์ผลาดิสัย รอง ผวจ.ศรีสะเกษ ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีการปล่อยแถวกองกำลังผสมร่วมปฏิบัติการจู่โจมตรวจค้น เรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ เป็นกรณีพิเศษ  ซึ่งนายอรรถสิทธิ์ ทองแสง ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ ได้จัดพิธีนี้ขึ้น โดยเป็นการระดมกำลังเจ้าหน้าที่กองกำลังผสมร่วมปฏิบัติการจู่โจมตรวจค้น เรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ จากกองบังคับการตำรวจภูธร จ.ศรีสะเกษ  หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23  ฝ่ายปกครอง/ฝ่ายท้องที่/ชุด ชรบ./ผรส., กองร้อยอาสารักษาดินแดน  ศูนย์อำนวยป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จ.ศรีสะเกษ และเจ้าหน้าที่เรือนจำ จ.ศรีสะเกษ ทุกนาย รวมจำนวนทั้งสิ้น 450 นายมาร่วมปฏิบัติการจู่โจม ตรวจค้น เรือนจำ จ.ศรีสะเกษ ในครั้งนี้ ซึ่งหลังจากปล่อยแถว เจ้าหน้าที่ทุกนายได้พากันเดินเข้าไปในบริเวณเรือนจำ และได้ทำการตรวจค้นภายในบริเวณเรือนจำทุกแห่งอย่างละเอียด  โดยมีการนำเอาสุนัขมาใช้ในการดมค้นหายาเสพติดด้วย พร้อมทั้งสุ่มตรวจปัสสาวะผู้ต้องขัง จำนวน 100 คน ไม่พบสารเสพติดในร่างกายแต่อย่างใด และผลการตรวจค้นภายในบริเวณเรือนจำไม่พบสิ่งของห้าม โดยมี นายอรรถสิทธิ์ ทองแสง ผู้บัญชาการเรือนจำ จ.ศรีสะเกษ เป็นผู้กล่าวรายงาน และมี พ.ต.อ.ศุภชัย ศักรินพานิชกุล  รอง ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ พ.ต.อ.อัครพล  รัศมี ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษ นายสรศิริ  จันดีบุตร ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง อ.ภูสิงห์ และคณะตัวแทนของหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง มาร่วมพิธีในครั้งนี้  
นายอรรถสิทธิ์ ทองแสง ผู้บัญชาการเรือนจำ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า ตามนโยบายรัฐบาลได้มีนโยบายในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง โดยในเรื่องของการป้องกัน ปราบปราม ฟื้นฟู ต้องแก้ปัญหาอย่างเป็นองค์รวม และมีการดำเนินงานอย่างบูรณาการ ประสานสอดคล้องกันของทุกหน่วยงานในทุกมาตรการ และ จ.ศรีสะเกษ ได้กำหนดนโยบายเน้นการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และที่สำคัญคือ การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในเรือนจำ การมีมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังไม่ให้ยาเสพติดแพร่ระบาดและการจำหน่ายยาเสพติดในเรือนจำ ตัดช่องทางการติดต่อซื้อขายและการลักลอบนำยาเสพติด ตลอดจนสิ่งของต้องห้ามเข้าภายในเรือนจำนั้น
นายอรรถสิทธิ์ ทองแสง กล่าวต่อไปว่า  เรือนจำ จ.ศรีสะเกษ ได้มีการปฏิบัติการด้านการข่าว การเฝ้าระวังและดำเนินการจู่โจมตรวจค้นผู้ต้องขัง อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เพื่อเป็นการหยุดยั้งกลุ่มขบวนการและเครือข่ายที่จะใช้เรือนจำเป็นฐานในการกระทำผิด เพื่อเป็นการป้องปรามและปราบปรามการกระทำผิดวินัยของผู้ต้องขังในเรือนจำ  ซึ่งขณะนี้เรือนจำ จ.ศรีสะเกษ มีจำนวนผู้ต้องขังชาย จำนวน 1,701  คน ผู้ต้องขังหญิง จำนวน 156  คน รวมทั้งสิ้น  1,857  คน โดยการปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ ได้สนธิกำลังจากหลายฝ่าย รวมกำลังจำนวนทั้งสิ้น 424  นาย เข้าปฏิบัติการจู่โจมตรวจค้นภายในบริเวณเรือนจำ จ.ศรีสะเกษ 

 นายนพ  พงศ์ผลาดิสัย รอง ผวจ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า  ภารกิจที่อันสำคัญโดย จ.ศรีสะเกษและรัฐบาล ได้ตระหนักและให้ความสำคัญต่อการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะการตรวจค้นในเรือนจำ และทัณฑสถานในทุกพื้นที่เพื่อตรวจหาสิ่งต้องห้ามและสิ่งของผิดกฎหมาย ตลอดจนการสุ่มตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดในผู้ต้องขังกลุ่มเสี่ยง ทุกคน   ตนต้องขอขอบคุณคณะเจ้าหน้าที่กองกำลังผสม ทั้งจากฝ่ายทหาร ฝ่ายตำรวจ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายท้องที่/ชุด ชรบ./ชุด ผรส. และฝ่ายราชทัณฑ์ทุกท่าน ที่เสียสละแรงกาย แรงใจ ร่วมปฏิบัติภารกิจจู่โจมตรวจค้นในครั้งนี้///////

ภาพ / ข่าว  ศิริเกษ  หมายสุข  ผู้สื่อข่าวประจำ  จ.ศรีสะเกษ

ศรีสะเกษl ความคืบหน้าแรงงานไทยเยอะระเบิดที่ไต้หวัน

 ความคืบหน้าแรงงานไทยเหยื่อระเบิดที่ไต้หวัน ผูู้ว่าเร่งเข้าไปให้การช่วยเหลือ ขณะที่เมียเผยยังทำใจไม่ได้เนื่องจากโทรศัพท์คุยกันกับสามีทุกวันหลังเลิกงาน ล่าสุดคุยกันเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 22 มี.ค.67 ก่อนเกิดเหตุไม่คาดคิดว่าจะเป็นการคุยกันครั้งสุดท้าย วอนนายก รมต.ช่วยนำศพสามีหรือกระดูกกลับมาบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิดด้วย
 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ นายศักดา  ยุรยาตร อายุ 37 ปี ชาวบ้านโพธิ์ลังกา ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ แรงงานไทยที่ไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน ได้เสียชีวิต เนื่องจากเกิดเหตุระเบิดที่โรงงาน เจวี๋ย เฟิง อะลูมิเนียม จำกัด  (Juei Feng Aluminium) ในเขตหูเน่ย นครเกาสง ทางตอนใต้ของเกาะไต้หวัน เมื่อช่วงเวลา 08.23 น. ตามเวลาท้องถิ่น ของวันเสาร์ที่ 23 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 110/3 หมู่ 11 บ้านโพธิ์ลังกา ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นบ้านของนางอำมะรา  ยุรยาตร  อายุ  62 ปี แม่ของแรงงานชาวไทยที่เสียชีวิตโดยบริเวณด้านหน้าบ้านได้มีการกางเต๊นท์จัดเก้าอี้ เพื่อเตรียมจัดพิธีศพรวมทั้งต้อนรับแขกญาติพี่น้องที่จะเดินทางมาร่วมพิธีศพของนายศักดา  บรรยากาศเป็นไปอย่างเศร้าโศก โดยแม่และพี่สาวของนายศักดา ต่างพากันเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียลูกชายคนเดียวของบ้านไปอย่างกะทันหันแบบนี้ ซึ่งนางอำมะรา ได้ฝากถึงท่านเศรษฐา  ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขอให้ช่วยเหลือด้วยหากไม่นำศพกลับคืนมาให้ก็ขอให้นำเอากระดูกกลับมาให้ทำบุญที่บ้านเกิดด้วย ตามข่าวที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น                
ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 67  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 110/3 หมู่ 11  บ้านโพธิ์ลังกา ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นบ้านของนางอำมะรา  ยุรยาตร  อายุ  62 ปี แม่ของแรงงานชาวไทยที่เสียชีวิต ปรากฏว่า ได้มีบรรดาญาติพี่น้องพากันมาเยี่ยมให้กำลังใจกับครอบครัวของนายศักดา  ยุรมาตร ที่เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง   โดยนายแพทย์อธิบ ลีธีระประเสริฐ  ผอ.โรงพยาบาลกันทรารมย์ ได้นำนักจิตวิทยา มาให้การดูแลช่วยเหลือครอบครัวของนายศักดา  เนื่องจากว่า ญาติพี่น้องกำลังอยู่ในช่วงเศร้าโศกเสียใจอย่างหนัก  ต่อมา  นายอนุพงศ์  สุขสมนิตย์  ผวจ.ศรีสะเกษ ได้มอบหมายให้ นายชัยยงค์  เมธาสุรวิทย์  รอง ผวจ.ศรีสะเกษ พร้อมด้วย น.ส.อรนุช จันทรชิต แรงงาน จ.ศรีสะเกษ  ตัวแทนจากหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน  เจ้าหน้าที่สาธารณสุข จ.ศรีสะเกษ สาธารณสุข อ.กันทรารมย์ คณะกรรมการเหล่ากาชาด จ.ศรีสะเกษ นำเอาเงินสดจำนวนหนึ่ง สิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคมามอบให้กับนางอำมะรา  ยุรยาตร  แม่ของนายศักดา และ น.ส.สุวคนธ์  เขียวอรุณ อายุ 32 ปี  ภรรยาของนายศักดา เพื่อเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น พร้อมทั้งได้ซักถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งนางอำมะราและลูกหลานทุกคนต่างมีอาการเศร้าโศกเสียใจมาก  โดยนายชัยยงค์ ได้แจ้งนางอำมะรา ให้ทราบถึงแนวทางการช่วยเหลือของทางราชการว่าจะให้การช่วยเหลืออย่างไรบ้าง  
นายชัยยงค์  เมธาสุรวิทย์  รอง ผวจ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า ตนได้มาเยี่ยมครอบครัวผู้ประสบเหตุ ที่ไต้หวันเนื่องจากโรงงานได้เกิดอุบัติเหตุระเบิดทำให้คนงานที่เป็นแรงงานไทยเสียชีวิตและมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านโพธิ์ลังกาแห่งนี้ ซึ่งญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต เมื่อทราบข่าวก็อาจจะทำให้เสียกำลังใจตนพร้อมด้วยส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ทุกส่วน เหล่ากาชาด จ.ศรีสะเกษ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้านและ อสม.ก็ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจกับผู้ประสบเหตุ เพื่อให้มีกำลังใจในการที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไป เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข ส่วนการที่บรรดาญาติพี่น้องได้เรียกร้องขอความช่วยเหลือว่า ขอให้ช่วยนำศพผู้เสียชีวิตหรือกระดูกของผู้เสียชีวิตกลับมาบำเพ็ญกุศลนั้น เรื่องนี้ก็จะต้องดูว่าความเหมาะสมในการเคลื่อนย้ายมานี้ว่าจะสะดวกหรือไม่เนื่องจากเท่าที่ทราบมาลักษณะการเสียชีวิตลักษณะนี้เที่ยวบินส่วนใหญ่จะไม่รับศพ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ทางบริษัทผู้ว่าจ้างที่ประเทศไต้หวันก็อาจจะทำการฌาปนกิจศพและให้ญาติที่สนิท 2 – 3 คน ไปดูร่างของผู้เสียชีวิตด้วยว่าใช่หรือไม่ เพื่อประกอบการฌาปนกิจศพและนำกระดูกกลับคืนมาสู่ภูมิลำเนาเดิมที่ จ.ศรีสะเกษ เพื่อทำบุญต่อไป 

น.ส.สุวคนธ์  เขียวอรุณ อายุ 32 ปี  ภรรยาของนายศักดา ที่เสียชีวิต  กล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า ตนรู้สึกเสียใจมากเนื่องจากเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องกะทันหันมากทำให้ตั้งตัวไม่ได้ ไม่คิดว่าสามีจะจากตนกับลูก  2 คนไปเร็วขนาดนี้เนื่องจากว่าเราได้โทรศัพท์คุยกันทุกวันเวลาเลิกงาน สามีจะโทรมาคุยกับตนและลูกทุกวัน ปีกว่าที่ทำงานอยู่ที่ไต้หวันไม่มีวันไหนที่สามีจะไม่เคยโทรมาหาลูกกับตนเลย คุยกับลูกทุกวันหากวันไหนลูกไม่อยู่จะถามหาลูกทุกวันเวลาวันเกิดหรือวันสำคัญอะไรก็จะมีของรางวัลให้กับลูกเสมอทุกครั้ง  การที่ไปทำงานอยู่ที่ไต้หวันเพื่ออนาคตของลูกทั้ง 2 คน การเกิดเหตุครั้งนี้ไม่มีอะไรเป็นลางบอกเหตุเลย เพราะว่าตอนกลางคืนเรายังได้คุยกันอยู่เลย แล้วก็ไม่คิดว่าจะเป็นการพูดคุยครั้งสุดท้ายที่ตนจะได้คุยสายกับสามีจากสามีของตน วันที่ได้ทราบข่าวคือวันเสาร์ที่ 24 มี.ค. ทางญาติโทรมาจากไต้หวันว่าสามีของตนได้เสียชีวิตแล้วตอนแรกตนไม่เชื่อ คิดว่าสามีไม่เป็นไร อาจจะได้รับบาดเจ็บ ธรรมดาหรืออาจจะยังมีชีวิตอยู่ แต่สุดท้ายผลตรวจออกมาก็ได้แจ้งว่าสามีของตนเสียชีวิตแล้ว ซึ่งขณะที่ตนทราบข่าวตอนนั้นตนทำอะไรไม่ถูกเลยตนกำลังทำงานอยู่จนทำอะไรไม่ได้เลย พอลูกได้ยินข่าวว่าพ่อเสียชีวิตแล้วลูกก็ร้องไห้ มีแต่ร้องเรียกหาแม่ให้แม่กลับมาหาอย่างเดียว 

น.ส.สุวคนธ์  เขียวอรุณ อายุ 32 ปี  ภรรยาของนายศักดา กล่าวต่อไปว่า จากการที่ตนไปติดต่อกับทางบริษัทที่ส่งไปทำงานแล้ว เบื้องต้นทางบริษัทก็แจ้งเรื่องของเอกสารในการดำเนินเรื่องเอกสารต่างๆของลูกว่าจะต้องต้องใช้เอกสารอะไรบ้างในการดำเนินเรื่องส่งไปให้ทางกรมแรงงานและทางประเทศไต้หวัน ส่วนการติดต่อกับทางฝ่ายประเทศไต้หวันนั้นก็มีการติดต่อมาเป็นระยะโดยโทรติดต่อกันทาง LINE ซึ่งในเบื้องต้นตนพูดคุยกับทางบริษัทที่ส่งไปทำงานว่าจะเดินทางไปเผาศพและจะนำเอากระดูกกลับมา ซึ่งการคุยกันยังไม่มีข้อสรุปจะต้องนำเอาข้อตกลงตามที่พ่อแม่ญาติพี่น้องของทางฝ่ายสามีคุยกันว่าจะดำเนินการอย่างไร

น.ส.สุวคนธ์ พนมมือร่ำไห้กล่าวว่า ขณะนี้ตนยังทำใจไม่ได้เพราะว่ามันเร็วเกินไป ความฝันที่เราคุยกันไว้เรายังไม่ได้ทำอะไรเลยเราอยากมีบ้านให้ลูก มีรถให้ลูก ให้ลูกได้เรียนหนังสือจนจบสูงๆ เรายังไปไม่ถึงไหนเลย สามีก็มาจากตนกับลูกไปแล้ว ตนขอฝากถึงท่านนายกรัฐมนตรีหากเป็นไปได้โปรดช่วยนำศพของสามีตนกลับมาทำบุญที่เมืองไทยบ้านเกิดด้วย แต่ถ้าหากว่ามันไม่ได้หรือยังไงก็ขอให้นำแค่อัฐิกระดูกกลับมาให้ตนกับครอบครัวทำบุญให้นายศักดาสามีของตนที่บ้านเกิด อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษด้วย

ภาพ / ข่าว  ศิริเกษ  หมายสุข  ผู้สื่อข่าวประจำ  จ.ศรีสะเกษ

ศรีสะเกษl แม่เหยื่อระเบิดไต้หวัน ร่ำไห้วอนนายก รมต.ช่วยนำศพลูกชายกลับบ้าน

แม่เหยื่อระเบิดไต้หวันร่ำไห้วอนนายก รมต.ช่วยนำศพลูกชายกลับบ้าน เผยเป็นลูกชายคนเดียวเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัวพ่อแม่ลูกเมีย 
เมื่อเวลา 08.45 น. วันที่ 26 มี.ค. 2567  ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 110/3 หมู่ 11 บ้านโพธิ์ลังกา                   ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นบ้านของนางอำมะรา  ยุรยาตร  อายุ  62 ปี แม่ของนายศักดา  ยุรยาตร อายุ 37 ปี  แรงงานไทยที่ไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน ซึ่งเสียชีวิตเนื่องจากเกิดเหตุระเบิดที่โรงงาน เจวี๋ย เฟิง อะลูมิเนียม จำกัด  (Juei Feng Aluminium) ในเขตหูเน่ย นครเกาสง ทางตอนใต้ของเกาะไต้หวัน เมื่อช่วงเวลา 08.23 น. ตามเวลาท้องถิ่น ของวันเสาร์ที่ 23 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีแรงงานชาวไทยเสียชีวิต 2 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 6 คน โดยมีพนักงานโรงงานถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลท้องถิ่น 8 ราย หนึ่งในนั้นถูกประกาศว่าเสียชีวิตเมื่อไปถึงโรงพยาบาล ส่วนอีกรายเป็นชายอายุราว 50 ปี ถูกพบในสภาพไม่มีสัญญาณชีพ และเสียชีวิตหลังความพยายามคืนชีพล้มเหลว โดยในการเกิดเหตุครั้งนี้มีแรงงานไทยเสียชีวิต 2 ราย คือ นายศักดา  ยุรยาตร ชาวศรีสะเกษ และชายไทยอีกคนหนึ่งภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.ชัยภูมิ  ซึ่งนางอำมะรา กำลังนั่งปรึกษาหารือกับลูกสาว 2 คน คือ  นางวันเพ็ญ แก้วพวงอายุ 43 ปี ลูกสาวคนโต และ นางหัด ยุรยาตร อายุ 40 ปี  ลูกสาวคนที่ 2 โดยนายศักดาที่เสียชีวิตเป็นลูกชายคนเล็กและเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว ขณะที่บริเวณด้านหน้าบ้านได้มีการกางเต๊นท์จัดเก้าอี้เพื่อเตรียมจัดพิธีศพรวมทั้งต้อนรับแขกญาติพี่น้องที่จะเดินทางมาร่วมพิธีศพของนายศักดา  บรรยากาศเป็นไปอย่างเศร้าโศก โดยแม่และพี่สาวของนายศักดา ต่างพากันเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียลูกชายคนเดียวของบ้านไปอย่างกระทันหันแบบนี้
นางอำมะรา  ยุรยาตร  อายุ  62 ปี แม่ของนายศักดา  ยุรยาตร แรงงานที่เสียชีวิตเนื่องจากเหตุระเบิดที่โรงงาน เจวี๋ย เฟิง อะลูมิเนียม จำกัด   กล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า ตนยังรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้  แม้ว่าจะได้เงินมากเท่าไหร่ตนก็ไม่อยากได้ ตนอยากได้ชีวิตของลูกชายกลับคืนมาเพื่อมาดูแลแม่และพ่อ พ่อแม่ไม่มีใครดูแลพ่อก็พิการนอนติดเตียงไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ส่วนแม่ก็ป่วยเป็นโรคเบาหวานเจ็บป่วย  ศักดาเป็นลูกชายคนเล็กมีพี่สาว 2 คนเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านและเป็นเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัวลูกเมียและพี่สาว  ศักดาไปทำงานก็ฝากเงินมาให้พ่อแม่และพี่สาวได้ใช้ ซึ่งขณะนี้เพิ่งใช้หนี้เงินที่กู้ไปทำงานที่ไต้หวันหมดไปเมื่อช่วงเดือนกันยายนปี 2556 โดยศักดายืมเงินไปทำงานประมาณ 100,000 บาทและได้ทำงานส่งเงินมาใช้หนี้โดยไปทำงานที่ประเทศไต้หวันเมื่อเดือนตุลาคม 2565  มีสัญญาในการทำงาน 3 ปีโดยเป็นแรงงานที่ไทยที่ไปทำงานถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งศักดาไปทำงานได้ 1 ปี 5 เดือนแล้ว ซึ่งบริษัทที่ไปทำงานนี้พี่เขยของนายศักดาก็เคยไปทำงานมาแล้ว โดยไปทำงานหากมีโอทีจะมีเงินเดือน ๆ ละประมาณ 40,000 บาทเศษ

นางอำมะรา แม่ของเหยื่อโรงงานระเบิด ร่ำไห้กล่าวต่อไปว่า ตนอยากฝากถึงท่านเศรษฐา  ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขอให้ช่วยเหลือด้วยหากไม่นำศพกลับคืนมาให้ก็ขอให้นำเอากระดูกกลับมาให้ทำบุญ  แม่คิดถึงแต่กับลูกชายคนนี้มาก เพราะว่าได้อาศัยลูกชายคนนี้ในการดูแลพ่อแม่ลูกเมียญาติพี่น้อง พ่อก็พิการแม่ก็ไม่สบาย ต้องอาศัยลูกชายในการดูแลเลี้ยงดู พอลูกชายมาเป็นแบบนี้แม่ก็ไม่มีที่คิดจะพึ่งพิงได้แล้ว ขอความเมตตาจากท่านนายกรัฐมนตรีขอให้ช่วยเหลือด้วย หากไม่นำเอาศพกลับมาให้ก็ขอให้นำกระดูกอัฐิกลับมาให้พ่อแม่ลูกเมียญาติพี่น้องได้ทำบุญด้วยโดยด่วนด้วย////
ภาพ / ข่าว ศิริเกษ  หมายสุข ผู้สื่อข่าวประจำ จ.ศรีสะเกษ

นครสวรรค์| ชมรมข้าราชการบำนาญ อ.ท่าตะโก จัดกิจกรรมแข่งขันกีฬาสานสัมพันธ์วันแม่

ชมรมข้าราชการบำนาญอำเภอท่าตะโก จัดกิจกรรมแข่งขันกีฬาสายสัมพันธ์วันแม่ วันที่ 9  ส.ค.2567 ชมรมข้าราชการบำนาญอำเภอท่าตะโกได้จัดกิจ...