นักการเมืองท้องถิ่น ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งขันทุกๆคนต่างมี กลุ่มทีมงานวางตัวหัวหน้าทีมและลูกทีมลงชิงพื้นที่แต่ละเขต ในการแข่งขันเลือกตั้ง เพราะทุกคนต่างคาดหวังว่าจะได้เข้ามาบริหารองค์กร โดยผู้ลงสมัคร จะหาคำพูดต่างๆนาๆว่าจะพัฒนาสร้างความเจริญให้กับหมู่บ้านที่ตนเองได้รับเลือกเข้ามามากที่สุด
แต่การเลือกตั้งจบลงทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีคนผิดหวังและสมหวัง เป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อหัวขบวนผิดหวังลูกทีมกับเข้าเส้นชัย เข้าไปมีเสียงข้างมากในสภา แต่กลับมาเป็นฝ่ายค้าน ค้านแบบไม่้มีเหตุผลค้านหัวชนฝ่าทุกเรื่อง มันไม่เหมือนตอนที่หาเสียงรับปากประชาชนไวว่าจะสร้างความเจริญ ทั้งๆมีเสียงข้างมากแท้ๆ
ย้อนมาเปรียบเทียบในอดีตตอนสมัย นายกดลฤดี ติยะโสภณจิต ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลหนองบัว ที่ผ่านมาทางฝ่ายบริหาร ก็มี 5 เสียง ฝ่ายค้านมี 7 เสียง เสียงข้างมากเหมือนปัจจุบันนี้
แต่ทำไม...!? สมัย นายกดลฤดี ติยโสภณจิต อดีตนายกเทศมนตรี จึงสามารถขับเคลื่อนในสายงานการพัฒนาความเจริญ ไปได้โดยไม่มีความขัดแย้ง ทั้งๆฝ่ายค้าน ที่มีข้างมากในสภานั่นคือสิ่งที่ประชาชนในเขตเทศบาลหนองบัวน่าคิดวิเคราะห์ปัญหา.....!?
สมาชิกฝ่ายค้าน ทั้ง7 ท่าน ก็เป็นทีมงานของ นายกวันชนะ ปอพานิชกรณ์ นายกเทศมนตรีตำบลหนองบัว แต่กับขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนไปด้วยกันได้ก็เพราะว่า ฝ่ายค้าน มองเห็นผลประโยชน์ของประชาชนที่จะได้รับเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ใช่อคติโกรธแค้นนำมารวมกันทำให้ขับเคลื่อนสายงานไม่ได้
โดย ฝ่านค้าน มีข้อตกลงกับ อดีตนายกดลฤดี ในการขับเคลื่อนในสายงานในการพัฒนาชุมชนให้ขับเคลื่อนแบบมีเหตุและผล !? ในการใช้งบประมาณแผ่นดิน โดยมีการแบ่งเขต ตำบลหนองกลับ ฝ่ายค้าน ขอนำงบประมาณพัฒนาความเจริญเอง ส่วน ตำบลหนองบัว ฝ่ายบริหาร ก็ไปบริหารเอง
ทำให้หลายฝ่ายมองประเด็นการขับเคลื่อนในสายงาน การพัฒนาท้องถิ่นในเขตเทศบาลหนองบัว ในปัจจุบันถึงการกระทำของฝ่ายค้าน คัดค้านแบบไร้เหตุผลค้านหัวชนฝ่า โดยตัดลดงบประมาณทุกอย่าง โดยให้ฝ่ายบริหารขับเคลื่อนในสายงานต่อไปไม่ได้ตามนโยบาย การที่ฝ่ายค้าน คัดค้านแบบนี้่ต่อไปจะทำให้ชุมชนในเขตเทศบาลไร้การพัฒนาความเจริญในหลายๆด้านแบบนี้ประชาชนจะคิดอย่างไร.....!?
คืนคัดค้านแล้วไม่มีเหตุผลต่อไปอีกจนหมดสมัย ประชาชนจะเลือกท่านมาพัฒนาชุมชนอีกหรือไม่อย่างไร.....!?
งบประมาณที่ถูกตัดลดออกไป ก็ต้องถูกคืนกับเข้าหลวงแทนที่จะได้งบมาพัฒนาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ต้องมาทิ้ง ศูนย์เปล่า
ฝากให้คิดการเมือง ในยุคโลกาภิวัตน์ เป็นการเมืองของคนรุ่นใหม่ ประชาชนคนรุ่นใหม่รับรู้ข่าวสาร ทางเทคโนโลยีอันทันสมัยโดยสื่อสารกันทาง Facebook และอีกหลายช่องทางนักการเมืองรุ่นใหม่ๆก็ต้องเปิดเผย ยอมรับคำติติง เพื่อนำไปปรับใช้แก้ไขปัญหาการทำงานและประชาชนสามารถตรวจสอบการใช้งบประมาณการทำงานได้ในการพัฒนาชุมชนให้เห็นความเจริญเด็นชัดโปร่งใส่และควบคู่การพัฒนาก้าวไปข้างหน้าไม่ใช่ล้าหลัง ถ่วงความเจริญแบบนี้ ควรเป็นตัวของตัวเองไม่ใช่มีใครชักใยอยู่เบื้องหลัง
ทีมข่าวการเมือง.. รายงาน